Welcome to my blog, hope you enjoy reading
RSS

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

งานชิ้นที่ 9 คุณลักษณะผู้บริหารมืออาชีพ

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

องค์การจะประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลสูงสุด ตลอดจนความเจริญก้าวหน้าที่รวดเร็วนำองค์การอื่นได้ ต้องอาศัยผู้บริหารมืออาชีพ เพราะผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ในการบริหารที่มีผลงานการบริหารที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นหลักประกันในการประกันความสำเร็จในการบริหารอย่างเป็นมาตรฐาน

คุณลักษณะผู้บริหารอาชีพ ลักษณะของผู้บริหารมืออาชีพ มี ๖ ประการดังนี้
๑. เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
๒. มีจิตวิญญาณนักบริหาร ผู้บริหารต้องมีการอุทิศตนเพื่อหน้าที่ มีความรักและรับผิดชอบต่อหน้าที่ มีเหตุผลแห่งความถูกต้อง
๓. เป็นผู้นำทางการศึกษาผู้บริหารมืออาชีพต้องเป็นผู้มีความรู้ด้านการศึกษา
๔. มีความรู้ความสามารถในการบริหาร
๕. มีผลงานที่แสดงถึงความชำนาญในการบริหารสถานศึกษา
๖. นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหาร


งานชิ้นที่ 11 จากใจศิษย์


จากการได้มาเรียนวิชานวตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้รับความรู้มากมาย เช่น การสืบค้นข้อมูล  การนำสร้างบล็อก ซึ่งตอนแรกคิดว่ายาก และทำไม่ได้ และบางครั้งการฟังอาจารย์รู้สึกสับสนและมึนงงมาก  แต่ด่วยความพยายามจากการฟังอาจารย์และการแนะนำจากเพื่อนๆ วันนี้จึงสามารถพัฒนาไปได้ในระดับหนึ่ง และคิดว่าจะพยายามทำให้ดีขึ้นต่อไป

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

งานชิ้นที่ 10 ประวัติผู้จัดทำบล็อก


ใบงานที่ 10 ประวัติตนเอง

ชื่อ นางกมลทิพย์ สงค์ดำ
เกิดวันที่ 22 มีนาคม 2519
สถานที่เกิด บ้านเลขที่ 23 หมู่ที่ 5 ตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
การศึกษา
ประถมศึกษา โรงเรียนบ้านหนองท่อม อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
มัธยมศึกษาต้น โรงเรียนประสาธน์ราษฎร์บำรุง อำเภอถ้ำพรรณรา จังหวัดนครศรีธรรมราช
มัธยมศึกษาปลาย โรงเรียนเบญจมราชูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ปริญญาตรี วิชาเอก ประถมศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ปริญญาโท สาขาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี
การทำงาน
30 มิถุนายน 2541 ตำแหน่ง อาจารย์ 1 ระดับ 3 โรงเรียนบ้านพอโกบ อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ปัจจุบัน ตำแหน่ง ครูชำนาญการ โรงเรียนบ้านปลายเส อำเภอถ้ำพรรณรา จังหวัดนครศรีธรรมราช


งานชิ้นที่ 8 มารู้จักspss

ใบงานที่ 8 จากการศึกษาโปรแกรม SPSS
1. สถิติ หมายถึง ตัวข้อมูลหรือจำนวนต่างๆที่ได้มาจากข้อมูล และหมายถึง วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ในการรวบรวมจัดระบบ สรุปนำเสนอ และวิเคราะห์ข้อมูลรวมถึงการลงสรุปอย่างเที่ยงตรง และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
2. ค่าเฉลี่ย คือ ผลรวมของคะแนนทั้งหมดหารด้วยจำนวนคะแนน
มัธยฐาน คือ คะแนนตรงกลางที่แบ่งคะแนนอื่นๆออกเป็น 2 ฝ่ายเท่าๆกัน
ฐานนิยม คือ ค่าที่ปรากฏบ่อยที่สุด หรือคะแนนที่มีความถี่มากที่สุด
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือรากที่สองของค่าเฉลี่ยของกำลังสองของค่าเบี่ยงเบน
ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน ฐานนิยม เป็นมาตราวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง เป็นค่าสถิติที่ใช้สำหรับเป็นตัวแทนของข้อมูลในกลุ่มหรือในเซ็ตนั้น
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นมาตราวัดการกระจาย เป็นสถิติที่ช่วยให้ทราบถึงระดับของการกระจายหรือการแปรผันของคะแนนในกลุ่มนั้น
3. ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง แตกต่างกัน คือ
ประชากร หมายถึง กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ หรือค่าที่วัดมา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดในกลุ่มนั้น
กลุ่มตัวอย่าง หมายถึง กลุ่มสมาชิกส่วนหนึ่งของประชากร ที่ผู้วิจัยเลือกมาเป็นตัวแทน
4. มาตรานามบัญญัติ เป็นระดับการวัดที่ต่ำสุด เป็นการกำหนดตัวเลขแทนชื่อคน แทน คุณลักษณะต่างๆ แทนเหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆ เช่น เบอร์นักกีฬา เลขทะเบียนรถ การกำหนดให้ 0 แทนเพศชาย 1 แทนเพศหญิง
มาตราเรียงอันดับ เป็นการกำหนดตัวเลข หรือสัญลักษณ์ เพื่อชี้ถึงอันดับ
มาตราอันตรภาค มีศูนย์สมมุติ และมีหน่วยของการวัดที่เท่ากัน ได้แก่ การวัดอุณหภูมิ คะแนนการสอบ
มาตราอัตราส่วน มีศูนย์แท้ มีหน่วยของการวัดเท่ากัน เช่น การวัดความยาว ชั่งน้ำหนัก
5. ตัวแปร คือ คุณลักษณะหรือสภาวการณ์ต่างๆซึ่งแบ่งออกเป็นพวก หรือเป็นระดับ หรือมีค่าได้หลายค่า
ตัวแปรต้น เป็นตัวแปรที่ไม่ขึ้นกับตัวแปรตาม จะเป็นสาเหตุมีผลหรืออิทธิพลต่อตัวแปรตาม
ตัวแปรตาม เป็นตัวแปรที่สันนิษฐานว่าจะขึ้นอยู่กับ หรือแปรผันไปตามตัวแปรต้น
6. สมมุติฐาน Hypothesis คือ คำตอบสรุปของผลการวิจัยที่คาดการณ์หรือพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า เป็นข้อสันนิษฐานที่อาจเป็นความจริงมีเหตุผลเชื่อถือได้ว่าเป็นไปได้จริง แต่อาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้
สมมุติฐานทางการวิจัยมี 2 ประเภท คือ สมมุติฐานหลัก และสมมุติฐานเลือก หรือเรียกว่าสมมุติฐานตรงข้าม
7. t-test กับ F- test ต่างกัน คือ
t-test ใช้ทดสอบนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของสองกลุ่ม
F- test ใช้ทดสอบนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างความแปรปรวนของสองกลุ่ม


งานชิ้นที่ 7 บล็อคหนูสุดสวย

ใบงานที่7การตกแต่งwebboardให้สวยงามและน่าสนใจ


1.การใส่ปฏิทินในเวบบอร์ด - ค้นหาโค้ดปฏิทินจากเวบgoogleพิมพ์คำว่าcodeปฏิทิน - เลือกเวบที่เกี่ยวข้องเลือก รูปแบบปฏิทินที่ชอบแล้วcopycode - เปิดบล็อกของตนเองเข้าไปที่รูปแบบ จากนั้นคลิ๊ก ในส่วนองค์ประกอบของหน้า เพิ่ม Gadget คลิ๊กในส่วนของ html /จาวาสคริป นำโค๊ดที่ได้วางไว้ในส่วนของเนื้อหา แล้วกดบันทึก(save)เพื่อยืนยัน

2.การใส่นาฬิกา - ค้นหาโค้ดนาฬิกาจากเวบgoogleพิมพ์คำว่าcode นาฬิกา -เลือกเวบที่เกี่ยวข้องเลือกรูปแบบนาฬิกาที่ชอบแล้วcopycode - เปิดบล็อกของตนเองเข้าไปที่รูปแบบ จากนั้นคลิ๊ก ในส่วนองค์ประกอบของหน้า เพิ่ม Gadget คลิ๊กในส่วนของ html /จาวาสคริป นำโค๊ดที่ได้วางไว้ในส่วนของเนื้อหา แล้วกดบันทึก(save)เพื่อยืนยัน

now i am very angry you becose you no like me/ glitter /comment hi5 / code hi53.การทำสไลด์ - เข้าwww.slide.com เพื่อสมัครสมาชิก- เข้าสู่ระบบ โดยการใส่ username และ password ที่ได้สมัครไปข้างต้น - เมื่อเข้าสู่ระบบแล้วคลิ๊กสร้างการแสดงภาพสไลด์ จากนั้นไปที browse เพื่อเพิ่มรูปภาพที่ต้องการ ซึ่งภาพนี้อาจอยู่ในเครื่องคอมพวิเตอร์ของท่านหรือจากเวบที่ท่านทำการฝากรูปไว้ ทำการuploadรูป- ปรับตกแต่งให้สวยงามตามความต้องการโดยเลือกรูปแบบ หลากหลาย ขนาด เอ๊ฟเฟกต่างๆ ตามใจชอบ เมื่อเลือกได้ตามที่ต้องการ ให้บันทึก เพื่อรับรหัส code จากนั้น copy code ที่ได้ไปวางไว้ในส่วนของบทความใหม่ หรือใน Gadget ก็ได้. เสร็จแล้ว คลิ๊ก บันทึกเพื่อยืนยันเกร็ดเล็กๆน้อยๆ....หากท่านเข้าเวบwww.slide.comแล้วพบว่าเป็นภาษาอังกฤษ อย่างเพิ่งตกใจ ให้เลื่อนเม้าส์ไปด้านล่างจะมีเมนูให้ท่านเปลี่ยนภาษาได้ .....

4.การปรับแต่งสีในblog - เปิด blog ของตัวเอง เข้าไปในส่วนของ รูปแบบ จากนั้น คลิ๊ก แบบอักษรและสี สามารถเลือกปรับแต่งสี ในส่วนต่างๆของหน้า blog เมื่อเลือกเสร็จให้คลิ๊ก บันทึกการเปลี่ยนแปลงเพื่อยืนยันเกร็ดเล็กๆน้อยๆ หากท่านเปลี่ยน template ของบล็อก การปรับแต่งสีเป็นสิ่งสำคัญ5.การใส่เพลง -เข้าเวบhttp://happyvampires.gmember.com/home.php?1402 - เลือกเพลงที่ชื่นชอบ copy embed เพื่อนำ code ที่ได้ไปวางไว้ในบล็อกตนเอง- เข้าบล็อกตนเอง ไปวางในส่วนของบทความใหม่




วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552


ฟรีโค้ดนาฬิกาน่ารักๆ




Free Clock


วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

งานชิ้นที่ 6 การใช้และประโยชน์ของ Google

www.google.co.th ใช้ประโยชน์ ดังนี้

1. Google ช่วยแปลเว็บไซต์ที่เราค้นหาได้ที่เป็นภาษาอื่น มิใช่ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน ฯลฯ ให้เป็นเว็บภาษาอังกฤษได้
2. ค้นหาโดยระบุคำสั่งพิเศษ โดยใช้การค้นหาแบบ Advanced Search (ค้นหาแบบละเอียด)
3.สามารถค้นหาไฟล์ข้อมูลที่อยู่ในรูป doc, pdf, ps ฯลฯ ได้ด้วยการกำหนดรูปแบบเอกสารของผลการค้นหาแบบเฉพาะเจาะจง
4.ค้นด้วยคำที่มีความหมายเหมือนกัน โดยให้ใส่เครื่องหมาย Tilde (~) หน้าคำที่ต้องการค้นหา
5.ค้นหาเฉพาะกลุ่ม โดยใช้ Special Google Searches เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการค้นหา
6.ใช้ Google ช่วยในการคำนวณ
7.ชอปปิ้งด้วย Google : Froogle
8.ตรวจสอบราคาหุ้นของบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นของอเมริกา
9.สามารถหาแผนที่ของสหรัฐอเมริกาได้โดยพิมพ์ ที่อยู่ ชื่อถนน พร้อมด้วยชื่อรัฐ
อ้างอิง http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=3872ac8a53e03acf

2. การค้นหาข้อมูลขั้นสูงมีวิธีการอย่างไร
1.Google จะใช้ and (และ) อยู่ในประโยคเสมอ เช่น ค้นหา harvest moon back to nature Google จะค้นหาแบบ harvest AND moon AND back... (พูดง่ายๆคือค้นหาแบบแยกคำ)
2. การใช้ OR (หรือ) คือการให้ Google หาข้อมูลมากขึ้นจาก คำA และ คำB (พูดง่ายๆ คือนำผลที่ได้ มารวมกันรวมกัน) วิธีใช้ พิมพ์ OR ด้วยตัวใหญ่ระหว่างคำที่ต้องการ เช่น vacation london OR paris คือหาทั้งใน London และ Paris
3. Google จะละคำทั่วๆไป (เช่น the, to, of) และตัวอักษรเดี่ยว เพราะจะทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำพวกนั้นสามารถช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้น ก็ต้องใช้เครื่องหมาย + ช่วยโดยนำไปอยู่หน้าคำนั้น (ต้องเว้นวรรคก่อนด้วย) เช่น back +to nature หรือ final fantasy +x
4. Google สามารถกันขอบเขตการค้นหาให้เล็กลงด้วยการใช้ Advanced Search หรือ การค้นหา แบบพิเศษ ใน Google ภาษาไทย
5. Google สามารถตัดคำพ้องรูปได้โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วยโดยการนำไปอยู่คำที่จะตัด
6. การค้นหาแบบทั้งวลี (คือการค้นหาทั้งกลุ่มคำ) ให้ใช้เครื่องหมาย " " เช่น "Breath of fire IV"
7. Google สามารถแปลเว็บภาษา Italian, French, Spanish, German, และ Portuguese เป็น ภาษาอังกฤษได้ (โดยคลิ้กที่คำว่า "Translate this page" ด้านข้างชื่อเว็บ)
8. Google สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ HTML ได้ ประเภทไฟล์ที่รองรับคือ เช่น
Microsoft Excel (นามสกุลของไฟล์ xls) Microsoft PowerPoint (นามสกุลของไฟล์ ppt)
วิธีใช้ filetype:นามสกุลของไฟล์ เช่น "Chrono Cross" filetype:pdf หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF และมันยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบของ HTML ได้ (โดยคลิ้ก View as HTML หรือ รูปแบบ HTML ใน Google ไทย)
9. Google สามารถเก็บ Cached ของเว็บที่จะเข้าชมไว้ได้ (โดยคลิ้กที่ Cached หรือ ถูกเก็บไว้ ใน Google ภาษาไทย) ประโยชน์ของมันคือช่วยให้เราสามารถเข้าเว็บบางเว็บที่อาจโดนลบไปแล้ว โดยข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลก่อนถูกลบ (ใหม่สุดที่มันจะมีได้)
10.Google สามารถค้นหาหน้าที่คล้ายกัน (โดยคลิ้ก Similar pages หรือ หน้าที่คล้ายกัน ใน Google ภาษาไทย) โดยจะค้นหาข้อมูลที่คล้ายๆ กันให้เรา เช่น ถ้าเรากำลังหาข้อมูลการวิจัย ความสามารถนี้จะช่วยให้หาข้อมูลได้มากมายในเวลาที่รวดเร็วโดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่อง keyword
11.Google สามารถค้นหา link ทั้งหมดที่เชื่อมไปยังเว็บนั้นได้ วิธีใช้ link:ชื่อ URL
12.Google สามารถค้นหาเว็บที่จำเพาะเจาะจงได้ โดยพิมพ์ คำที่คุณต้องการเจาะจง site:ชื่อ URL เช่น ถ้าคุณต้องการหาเว็บเกี่ยวกับการเข้า (admission) มหาวิทยาลัย Stanford ให้พิมพ์ admission site:www.stanford.edu
13.ถ้าคุณมีเวลาน้อย (และคิดว่าโชคดี) Google มีบริการการค้นหาด่วน (ชื่อบริการ I'm Feeling Lucky) โดยที่ Google จะนำเว็บที่อยู่ลำดับแรกของการค้นหา ส่งให้คุณเลย (link ไปเว็บนั้นให้เสร็จ) เช่น คุณต้องการค้นหาเว็บมหาวิทยาลัย Stanford อย่างด่วนให้พิมพ์ Stanford แล้วกด I'm Feeling Lucky หรือ ใช่เลย! เจอแน่ๆ ใน Google ไทย
14.Google สามารถหาแผนที่ของสหรัฐอเมริกาได้โดยพิมพ์ ที่อยู่ ชื่อถนน พร้อมด้วยชื่อรัฐ เช่น 165 University Ave Palo Alto CA Google จะจัดการส่งแผนที่คุณภาพสูงมาให้คุณ
15.Google สามารถหาเบอร์โทร (เฉพาะอเมริกา) หรือพิมพ์เบอร์โทรแล้วหาบริษัทได้โดยพิมพ์
16.Google สามารถค้นหา Catalog สินค้าได้ (เข้าไปที่ http://catalogs.google.com )
17.Google สามารถเก็บข้อมูลลักษณะการใช้ที่คุณต้องการได้โดยเข้าไปที่ Preferences หรือ ตัวเลือก ใน Google ไทย
อ้างอิง http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=91026.0

3. web ที่ใช้ค้นหาข้อมูลนอกจาก google
ตัวอย่างเว็บไซต์เครื่องค้นหาได้แก่ http://www.yahoo.com, http://www.infoseek.com, http://altavista.com, http://thaiseek.com
อ้างอิง http://www.sa.ac.th/elearning/index33.htm

4. การกำหนดหมวดหมู่ในการค้นหา โดยใช้ google
ค้นหารูปได้แสนง่ายความสามารถที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ชอบกันนักหนา และสร้างชื่อให้กับ Google ก็คือการค้นหารูปภาพด้วย Google Search วิธีการใช้ก็คือ
1. คลิกเมนูลิ้งค รูปภาพ จากนั้นก็พิมพ์ชื่อภาพที่ต้องการค้นหา และคลิกปุ่มค้นหารูปภาพ
- Google ค้นหาไฟล์ได้
Google สามารถค้นหาไฟล์เอกสารที่สำคัญๆ ได้ดังนี้
Microsoft PowerPoint ( ไฟล์นามสกุล . ppt) Microsoft Word ( ไฟล์นามสกุล . doc)
Shockwave Flash ( ไฟล์นามสกุล . swf) Text ( ไฟล์นามสกุล . ans, .txt)
- เว็บไซต์ที่ถูกลบไปแล้ว Google ก็ยังค้นหาได้อยู่ เพราะก่อนหน้านี้เว็บไซต์ที่ถูกลบเหล่านั้นได้ถูกบรรจุหรือจัดเก็บไว้ในเครื่องที่เรียกว่า Cache ของ Google ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับ เช่น บางลิงค์ที่ผู้ใช้งานคลิกเข้าชมไม่ได้อันเนื่องมาจากถูกลบออกไปแล้ว ผู้งานก็เพียงแต่คลิกที่เมนู หน้าที่ถูกเก็บไว้
- ค้นหาหน้าเว็บที่มีข้อมูลคล้ายกันได้ ในบางครั้งเมื่อ Cache จะไม่สามารถช่วยผู้ใช้ค้นหาเว็บไซต์นั้นได้ แต่ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน โดคลิกไปยังเมนู หน้าที่คล้ายกัน
- Google สามารถค้นหาเว็บทั้งหมดที่เชื่อมมายังเว็บนั้นได้
โดยพิมพ์ link: ชื่อ URL ของเว็บ ในช่อง Search ของ Google เช่น link:www.plawan.com เป็นการค้นหาลิงค์ที่เชื่อมมายังเว็บของปลาวาฬดอตคอมเป็นต้น
- Google สามารถหาคำเฉพาะเจาะจงในเว็บไซต์นั้นๆ ได้
โดยพิมพ์ คำที่ค้นหา site: ชื่อ URL ของเว็บ ในช่อง Search ของ Google เช่น Google Earth site:www.kapook.com ซึ่งเป็นการหาหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับ Google Earth ในเว็บไซต์ของ Kapook น
- จะวัดดวงค้นหาเว็บไซต์ด้วย Google กันสักครั้งคงไม่เป็นไร เพราะถ้าดวงดีผู้ใช้ก็จะได้ไม่เสียเวลามานั่นเลือกให้เมื่อตุ้มครับ โดยพิมพ์ Keyword สำหรับค้นหาเว็บไซต์ที่ต้องการจากนั้นคลิกที่ปุ่ม ดีใจจัง ค้นหาแล้วเจอเลย
- ค้นหาบทสรุปของหนังสือก่อนตัดสินใจซื้อ ก่อนการตัดสินใจที่จะซื้อหนังสือสักเล่ม ผู้ใช้น่าจะทราบก่อนว่าเนื้อหามีอะไรบ้าง หรือมีโอกาสได้ดูสารบัญของหนังสือเล่มนั้น Google Search สามารถบอกผู้ใช้ได้เพียงใส่ชื่อหนังสือหลังคำว่า books about ชื่อหนังสือ เช่น books about Harry Potter
อ้างอิง http://www.kapook.com/google/search/


Background.MyEm0.Com

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บรรยากาศห้องเรียน





Background.MyEm0.Com

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

งานชิ้นที่ 4 การค้นหาและสังเคราะห์การจัดการเรียนรู้

การจัดการความรู้(Knowledge Management – KM)

การจัดการความรู้ หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า KM คือ เครื่องมือ เพื่อใช้ในการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 3 ประการไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ
1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge
2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)
การบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ ที่เรียกว่า Operation Effectiveness และนิยามผลสัมฤทธิ์ ออกเป็น 4 ส่วน คือ
(1) การสนองตอบ (Responsiveness) ซึ่งรวมทั้งการสนองตอบความต้องการของ
(2) การมีนวัตกรรม (Innovation) ทั้งที่เป็นนวัตกรรมในการทำงาน และนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์
(3) ขีดความสามารถ (Competency) ขององค์กร และของบุคลากรที่พัฒนาขึ้น
(4) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ซึ่งหมายถึงสัดส่วนระหว่างผลลัพธ์ กับต้นทุนที่ลงไป
องค์ประกอบสำคัญของการจัดการความรู้ (Knowledge Process)
1. “คน” ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นแหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
2. “เทคโนโลยี” เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้อย่างง่าย และรวดเร็วขึ้น
3. “กระบวนการความรู้” นั้น เป็นการบริหารจัดการ เพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุง และนวัตกรรม
กระบวนการจัดการความรู้
กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิดพัฒนาการของความรู้ หรือการจัดการความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร มีทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ
1. การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องใช้อะไร ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เช่นการสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รักษาความรู้เก่า กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบในอนาคต
4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น ปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ภาษาเดียวกัน ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์
5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web board บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลต่างๆ ที่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรือวิเคราะห์ผลสรุปด้วยวิธีการต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมาย มีคุณค่าเพิ่มขึ้นและมีวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
แหล่งที่มาของข้อมูลสารสนเทศ
1. ข้อมูลภายใน หมายถึง ข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในองค์กรนั้น ได้แก่ ข้อมูล การปฏิบัติงาน ที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลงานบุคลากร ข้อมูลงานกิจการนักเรียน
2. ข้อมูลภายนอก หมายถึง ข้อมูลที่เกิดขึ้นนอกองค์กร ข้อมูลหน่วยงานอื่นๆ
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้
เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) หมายถึง การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรียนรู้ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล องค์การ และแหล่งความรู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นระบบที่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้เกิดการเผยแพร่และการประยุกต์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาชีพหรือทางสังคม
7. การเรียนรู้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน
ที่มา
http://images.rdirmutk.multiply.multiplycontent.com/attachment/0/SRJgGwoKCrwAAFDSUTI1/%E0
http://www.samutsongkhram.go.th/KM%2051/km3.doc
http://www.trang.psu.ac.th/learning2teach/index.php?option=com_content&task=view&id=60&Itemid=34
http://tsl.tsu.ac.th/file.php/1/courseware/aa_2/lesson02/lesson2-1.htm





Background.MyEm0.Com

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สรุปเนื้อหาวันที่ 28 พฤศจิกายน 2552

การบริหารนวัตกรรม
การบริหารงานสารบรรณ
การบริหารงานทะเบียนนักเรียน
ชี้แจง
แต่งตั้งกรรมการ
ดำเนินการตาม พรบ.การศึกษาที่เกี่ยวข้อง
ติดตามประเมินผล ใช่หรือ ไม่ ใช่จัดเก็บ ไม่ใช่นำไปปรับปรุง
จัดเก็บ
การพัฒนานวัตกรรมในงานสัมพันธ์ชุมชน ให้คิดแผนงาน
การพัฒนานวัตกรรมงานกิจกรรมนอกหลักสูตร ให้ใช้ในการนำไปพัฒนางานชิ้นที่ 2
การให้บริการนักเรียน ใช้เป็นเครือข่ายผู้ปกครอง
การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ตามแบบของ สวร.
การเสริมสร้างพัฒนาเครือข่าย ภายใน ภายนอกสถานศึกษา หรือการทำระบบประเมินความเสี่ยง
การ search ข้อมูล
ลักษณะการทำงานขอบริการ เวิลด์ไวด์เว็บ
โปรแกรม internet exprore เป็นเว็บบราวเซอร์ที่นิยมสูงสุด โดยพิมพ์ url หรือ address ของเว็บที่ต้องการ
การใช้ google search web หรือ รูปภาพ ใช้ค้นหาแผนที่ ใช้ในการแปลภาษา ได้หลายภาษา สามารถเปลี่ยนสลับกันได้ การใช้ กูรูเพื่อหาเรื่องราวที่เราต้องการหา “การบริหารแบบธรรมาภิบาล” หรือ คำว่า “leadership”
การใช้ บล็อก คือการค้น บล็อกในเรื่องที่เราต้องการ เช่น leadership อาจเข้าไปเจอเอกสาร หรือเว็บภาษาอังกฤษก็ย้อนกลับมาใช้ google แปลภาษาได้
การใช้ Gmail.ใช้ในการรับส่งเมล บทความต่าง ๆ ติดต่อกับเพื่อน ๆ
การทำฐานข้อมูลโดยใช้ โปรแกรม excel
.ให้ไปดูวัดผลดอทคอม เพื่อหาการใช้ spss ในการวิเคราะห์ข้อมูล
การทำฐานข้อมูลจาก เอ็กเซล์
พิมพ์ชื่อฐานข้อมูลลงใน เอ็กเซล เช่น งานวิจัย



Background.MyEm0.Com